วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เทพารักษ์ (พระภูมิ)

เทพารักษ์(พระภูมิ)         

ประวัติเทพารักษ์ (พระภูมิ)

          ในกาลครั้งหนึ่ง  มีกษัตริย์ผู้ครองกรุงพาลี ทรงพระนามว่า ท้าวทศราช มีพระมเหสีทรงพระนามว่า  พระนางสันทาทุก มีพระราชโอรส 9 พระองค์ มีปัญญาเฉียวฉลาด  รอบรู้ในสิ่งต่าง ๆ ยิ่งกว่าบุคคลทั้งหลาย แต่ละพระองค์มีอิทธิฤทธิ์มาก  ทรงมีพระปรีชาสามารถรอบรู้ในสิ่งต่าง ๆ เป็นอย่างดี  ถ้าหากคิดว่าจะทำอะไร  ก็จะต้องทำได้ทุกอย่าง  จะเป็นในทางสุจริตหรือทุจริตก็ทำได้ทั้งนั้น ทรงมีปัญญาแก้ไขในเหตุการณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ครบทั้ง พระองค์ โดยไม่มีใครเหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากันเท่าใดนัก การเป็นอยู่พอ ๆ กันทั้งหมด

พระองค์ที่1
พระองค์ที่2
พระองค์ที่3พระองค์ที่4พระองค์ที่5พระองค์ที่6พระองค์ที่7พระองค์ที่8
พระองค์ที่
   ทรงพระนามว่า  พระชัยมงคล 
   ทรงพระนามว่า พระนครราช
   ทรงพระนามว่า พระเทเพล   ทรงพระนามง่า พระชัยสพ   ทรงพระนามว่า พระคนธรรพ์   ทรงพระนามว่า พระธรรมโหรา   ทรงพระนามว่า พระ เทวเถรวัยทัต   ทรงพระนามว่า พระธรรมมิกราช   ทรงพระนามว่า ทาษธารา














ครั้นต่อมา พระโอรสทั้ง พระองค์ ทรงเจริญพระชันษา  พระราชาทศราชกับพระนางสันทาทุก ปรึกษาหารือกัน จนเป็นที่ตกลงกันว่า  จะต้องมอบให้พระโอรสทั้ง พระองค์ ไปปกครองเขตนิเวศสถานต่าง ๆ จึงมอบให้

พระโอรสองค์ที่1   พระชัยมงคล ไปครอบครองดูแล สถานบ้านเรือน และ โรงร้าน
พระโอรสองค์ที่2   พระนครราช ไปครอบครองดูแล ประตู ป้อม ค่าย บันได หอรบ
พระโอรสองค์ที่3   พระเทเพล ไปครอบครองดูแล คอกสัตว์ต่าง ๆ ที่มี
พระโอรสองค์ที่  พระชัยสพ ไปครอบครองดูแล ยุ้งฉาง และ เสบียงคลัง
พระโอรสองค์ที่5   พระคนธรรพ์ ไปครอบครองดูแล เรือนหอ และ โรงพิธีแต่งงาน
พระโอรสองค์ที่6   พระธรรมโหรา ไปครอบครองดูแล เรือกสวน ไร่นา และ โรงนา
พระโอรสองค์ที่7   พระวัยทัต ไปครอบครองดูแล วัดวาอาราม และ ปูชนียสถาน
พระโอรสองค์ที่8   พระธรรมมิกราช ไปครอบครองดูแล พืชพันธ์ธัญญาหารต่าง ๆ
พระโอรสองค์ที่9   พระทาสธารา ไปครอบครองดุแล ห้วยหนอง คลอง บึง บ่อ  และ ลำธาร

เมื่อมอบหมายหน้าที่ให้ครบทั้ง พระองค์แล้วท้าวทศราชผู้ซึ่งมีจิตใจที่ผิดมนุษย์ธรรม  สันดานโกง  หยาบช้าลามก  เห็นแก่ได้ในสิ่งต่าง ๆ ด้วยความโลภไม่มีวันสิ้นสุด  เที่ยวคดโกงรังแกชาวประชา  ต่างได้รับความเดือดร้อนกันไปทั่วทุกมุมเมือง  ยังใช้ให้พระโอรสทั้ง 9  พระองค์  กระทำการหยาบช้า  โดยการเข้าไปสิงสู่ในผู้คน  แล้วก็เรียกร้องเครื่องสังเวยและสินบน  คนละจำนวนมากๆ โดยที่ไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรม  จนชาวประชาเดือดร้อนเป็นอย่างหนัก  แต่ก็พูดอะไรไม่ออก  และไม่มีทางแก้ไข  จึงปล่อยไป  ให้เลยตามเลย  ต่างก็ไม่คิดที่จะแก้ไข  เพราะหมดปัญญา  หมดศรัทธา  ต่อการกระทำของ  ท้าวทศราช และ  พระโอรสทั้ง 9  พระองค์  ที่มีใจฮึกเหิมเหี้ยมเกรียม  กระทำย่ำยีจิตใจมนุษย์ทั้งหลาย  ให้ตกอยู่บนกองทุกข์  ไม่เป็นอันที่จะทำมาหากิน  เพราะหมดกำลังใจ  ก่อนที่บ้านเมืองจะถึงกับความวิบัติล่มจมลงไป  เรื่องของเจ้ากรุงพาลีกลั่นแกล้งประชาชน  จึงร้อนไปถึงพระนารายณ์  เห็นท่าว่าขืนปล่อยเอาไว้  บ้านเมืองก็จะพินาศล่มจม  ด้วยความที่ใจสงสารประชาชน  พระนารายณ์จึงต้องหาทางแก้ไขเป็นการด่วน  คิดที่จะลงโทษและดัดสันดานของเจ้ากรุงพาลี  พระนารายณ์จึงปลอมแปลงรูปกาย  เป็นพราหมณ์ผู้มีศีล  เหาะตรงลงมายังกรุงพาลี  แล้วจึงเข้าเฝ้า  ท่านท้าวทศราช  ตามเจตนาที่คิดเอาไว้
          ส่วนเจ้ากรุงพาลี  ท้าวทศราชและพระนางสันทาทุก  เมื่อเห็นพราหมณ์มาเข้าเฝ้าก็มีความยินดี  โดยที่มิได้รู้กลลวงของพระนารายณ์  จึงทักทายปราศรัยด้วยไมตรี  ฝ่ายพราหมณ์ปลอมได้โอกาส  จึงกราบทูลขอ  ที่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยบำเพ็ญตบะ  จากท้าวทศราช  3 ก้าว  เจ้ากรุงพาลีมิได้ระแวงอะไร  จึงตอบตกลงอนุญาตให้กับพราหมณ์นั้น  เมื่อได้โอกาส

ประวัติความเป็นมาของพระภูมิชัยมงคล 
ความเป็นมาของพระภูมิชัยมงคลตามคติทางศาสนาพราหมณ์มีดังนี้
          เรื่องราวการกำเนิดพระชัยมงคลมีความเป็นมาในอวตารปางที่ แห่งองค์พระนารายณ์หรือพระวิษณุเทพ ในยุคนั้นทั้งมนุษย์และทวยเทพ มีการไปมาหาสู่กันอย่างง่ายดายอยู่เสมอ แต่สมัยนี้ ติดต่อกันยากลำบาก เพราะมนุษย์สมัยนี้มีความดีน้อยลงมาก บรรดาทวยเทพจึงไม่ลงมาคบหาด้วย ในสมัยนั้นมีผู้เป็นใหญ่ที่สุดในมวลมนุษย์ ทรงพระนามว่า "ท้าวทศราช" ปกครองนคร "กรุงพาลี" ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์ทั้งหลาย ทรงมีพระมเหสีพระนามว่า "พระนางสันทรทุกเทวี" มีโอรสด้วยกัน พระองค์ คือ

1.พระชัยมงคล
2.พระนครราช
3.พระเทเพล ( พระเทเพน )
4.พระชัยศพน์ ( พระชัยสพ )
5.พระคนธรรพน์
6.พระธรรมโหรา ( พระเยาวแผ้ว )
7.พระเทวเถร ( พระวัยทัต )
8.พระธรรมมิกราช ( พระธรรมมิคราช )
9. พระทาษธารา

พระโอรสทั้ง พระองค์ มีความสามารถและอานุภาพมาก ในฐานะเทพ ทั้ง พระองค์มีความสามารถเท่าเทียมกัน ท้าวทศราชทรงมอบหมายให้ทั้ง พระองค์ไปดูแลสถานที่ต่างๆ  แทนพระองค์ต่อมาท้าวทศราช เกิดความโลภมาก,เห็นแก่ตัว,เบียดเบียนมนุษย์ ปกครองบ้านเมืองอย่างไร้คุณธรรม กดขี่ข่มเหงราษฎรโดยไม่กลัวบาป จนได้รับความเดือดร้อนไปทั่วทุกแห่ง นอกจากนี้ ยังรับสั่งให้พระโอรสทั้ง พระองค์กระทำความผิดโดยเรียกร้องเครื่องเซ่นสังเวยต่างๆ จนราษฎรได้รับความลำบากทุกข์ยาก ไม่สามารถขัดขืนหรือหาทางออกได้
เมื่อพระศิวะมหาเทพทรงทราบเรื่องราวความเป็นมาของความเดือด ร้อนของมนุษย์ จึงมีโองการให้พระนารายณ์( พระวิษณุ ) อวตารลงมาปราบพระเจ้ากรุงพาลี เมื่อพระนารายณ์อวตารลงมาจนเติบใหญ่เป็นพราหมณ์น้อย มีวิชาความรู้ ได้เดินทางมาเฝ้าท้าวทศราช เมื่อท้าวทศราชเห็นพราหมณ์น้อยน่าเลื่อมใส และถามพราหมณ์น้อยว่า ต้องการอะไรเป็นการบูชา พราหมณ์น้อยจึงออกอุบายขอที่เพียง ก้าวเท่านั้น ท้าวทศราชตรัสรับปาก พราหมณ์น้อยจึงขอให้ท้าวทศราชหลั่งน้ำอุทกธารา ในขณะที่กำลังหลั่งนั้น พระศุกร์ ผู้เป็นอาจารย์ของท้าวทศราชรู้ทันอุบายของพราหมณ์น้อย ได้แปลงกายเข้าไปอุดรูน้ำไว้ พราหมณ์น้อยจึงเอาปลายหญ้าคาแยงเข้าถูกนัยน์ตาของพระศุกร์เข้า พระศุกร์เจ็บปวดจนทนไม่ไหวเหาะหนีไปน้ำจึงไหลออกมา
      หลังจากนั้นพราหมณ์น้อยก็แสดงอิทธิฤทธิ์กลับคืนสู่ร่างเดิม ซึ่งใหญ่โตกว่าปราสาทราชมณเฑียร เมื่อย่างก้าวเพียง ก้าว ก็กินอาณาบริเวณกรุงพาลีทั้งหมด ท้าวทศราชเห็นก็ทรงก้มกราบลงขอขมาพระนารายณ์ทันที ( พราหมณ์น้อย ) พระนารายณ์ ทรงขับไล่ท้าวทศราช,พระนางสันทรทุกเทวีและพระโอรสทั้ง พระองค์ ให้ไปอยู่นอกเขตป่าหิมพานต์ นับจากนั้นราษฎรก็อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ฝ่ายท้าวทศราช,พระมเหสีและพระโอรส ต้องพบกับความยากลำบากแสนสาหัส ด้วยสภาพเช่นนี้ทำให้ท้าวทศราชและพระโอรสสำนึกถึงความผิดของตนที่ได้กระทำ ไว้แต่หนหลัง ท้าวทศราชจึงได้พาพระโอรสทั้ง ไปเข้าเฝ้าพระนารายณ์เพื่อขออภัยโทษและแสดงความสำนึกผิดอย่างแท้จริงและ ปวารณาตนว่าจะตั้งอยู่ในศีลธรรม ประกอบกรรมดี มีจิตใจเผื่อแผ่ พระนารายณ์เห็นจิตอันแรงกล้าจึงอภัยโทษให้และอนุญาตให้ท้าวทศราชและพระโอรส ทั้ง กลับมาอยู่ที่กรุงพาลีได้ดังเดิม แต่ไม่ใช่ฐานะกษัตริย์ แต่ให้ประทับอยู่บนศาลที่มีเสาเพียง เสาปักลงบนผืนดิน และจะต้องปฏิบัติตามคำสัญญาอย่างเคร่งครัดมิฉะนั้นจะไม่ให้อยู่ในโลกอีกต่อไป

ความเป็นมาของพระชัยมงคล (พระภูมิ)ตามคติทางพระพุทธศาสนามีดังนี้ 
      ตำนานความเป็นมาของพระภูมิไนพระชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า เมื่อยังทรงเป็นพระโพธิ์สัตว์ เสด็จออกบวช และประทับบำเพ็ญญาณสมาบัติใต้ต้นไทรใหญ่ จนตกกลางคืนก็ปรากฎภูมิเทวดาทรงพระนามว่า พระเจ้ากรุงพาลี ซึ่งไม่พอใจที่ ที่พระโพธิ์สัตว์มาบำเพ็ญบารมีในถิ่นตนจึงขับไล่ พระโพธิ์สัตว์จึงขอพื้นดินของพระเจ้ากรุงพาลี ก้าวเพื่อใช้บำเพ็ญบารมีต่อไป ฝ่ายพระเจ้ากรุงพาลีเห็นว่าเล็กน้อยจึงถวายให้ พระโพธิ์สัตว์ก็ทรงแสดงอิทธิฤทธิ์ก้าว ก้าว ก็กินอาณาบริเวณพื้นที่ของพระเจ้ากรุงพาลีจนหมดสิ้น ทำให้พระเจ้ากรุงพาลีไม่มีที่อาศัยต้องออกไปอยู่นอกเขตมนุษย์ ทำให้ลำบากยากเข็ญจนทนไม่ไหว จึงให้คนใช้ คน( นายจันถี,นายจันทิศและนายจันสพ ) พระเชิงเรือนไปขอแบ่งที่ดินจากพระโพธิ์สัตว์ พระโพธิ์สัตว์ก็ทรงประทานให้และทรงสั่งสอนให้พระเจ้ากรุงพาลีตั้งมั่นในความ สุจริตไม่เบียดเบียนผู้อื่น คอยคุ้มครองมนุษย์และสัตว์โลกตลอดไปและหากกระทำการมงคลใดๆ จะต้องทำพิธีบูชาพระเจ้ากรุงพาลีในฐานะเจ้าของที่ จึงจะประสบความสำเร็จมีความสุข,เจริญรุ่งเรือง

ความเป็นมาของพระภูมิตามคติพราหมณ์และคติพุทธ
      มีความคล้ายคลึงกัน โอรสแต่ละพระองค์ของท้าวทศราช จะต้องมีหน้าที่คอยปกครองดูแลสถานที่ต่างๆ แตกต่างกันไป ดังนี้                
  
    1.พระชัยมงคล ทรงฉลองพระองค์อย่างกษัตริย์หรือเทพารักษ์โดยทรงสวมชฎาทรงสูง สวมพระภูษาห้อยชายมีสายธุรำ และสายสังวาลย์ ทรงสวมกำไล,ปั้นเหน่งและพาหุรัด สวมฉลองพระบาทเชิงงอน พระหัตถ์ซ้ายทรงถือถุงเงิน พระหัตถ์ขวาทรงถือพระขรรค์ ปกครองดูแลเคหสถานบ้านเรือนและร้านโรงต่างๆ
         
    2.พระนครราช ทรงฉลองพระองค์เช่นเดียวกับพระภูมิชัยมงคลแต่พระหัตถ์ซ้ายถือช่อดอกไม้ดูแลปกครองป้อม,ค่าย,ประตูเมือง,หอรบและบันไดต่างๆ
    
     3.พระเทเพล หรือ พระเทเพน ทรงฉลองพระองค์เช่นเดียวกับพระภูมิชัยมงคล แต่พระหัตถ์ซ้ายถือหนังสือหรือคัมภีร์ปกครองดูแลฟาร์ม,ไร่และคอกสัตว์ต่างๆ
 
     4.พระชัยศพน์ หรือพระชัยสพ ทรงฉลองพระองค์เช่นเดียวกับพระภูมิชัยมงคล แต่พระหัตถ์ขวาถือหอก พระหัตถ์ซ้ายวางแนบอยู่บริเวณพระสะเอว ปกครองดูแลเสบียง,คลังและยุ้งฉางต่างๆ
    
   5.พระคนธรรพน์ ทรงฉลองพระองค์เช่นเดียวกับพระภูมิชัยมงคล แต่พระหัตถ์ซ้ายถือผะอบปกครองดูแลพิธีวิวาห์,เรือนหอและสถานบันเทิงต่างๆ    
     6.พระธรรมโหรา หรือ พระเยาวแผ้ว ทรงฉลองพระองค์เช่นเดียวกับพระภูมิชัยมงคล แต่พระหัตถ์ซ้ายแพนหางนกยูงปกครองดูแลโรงนา,ป่าเขา,ลำเนาไพรและเรือกสวนต่างๆ      
      7.พระเทวเถร หรือ พระวัยทัต หรือ พระเทวเถรวัยทัต ทรงฉลองพระองค์เช่นเดียวกับพระภูมิชัยมงคลแต่พระหัตถ์ขวาถือธารพระกร ( ไม้เท้า ) ปกครองดูแลปูชนียสถาน,เจดีย์และวัดวาอารามต่างๆ
     
   8.พระธรรมมิกราช หรือ พระธรรมมิคราช ทรงฉลองพระองค์เช่นเดียวกับพระภูมิชัยมงคล แต่พระหัตถ์ซ้ายถือพวงมาลา ปกครองดูแลกิจต่างๆ อันเกี่ยวกับพืชพันธุธัญญาหารทั้งปวงและพระราชอุทยาน        
    9. พระทาษธารา ทรงฉลองพระองค์เช่นเดียวกับพระภูมิชัยมงคล แต่พระหัตถ์ไม่ได้ถืออะไร ปกครองดูแลบึง,ห้วยหนอง,คลองและลำธารต่างๆตลอดจนน้ำที่ตกลงมาจากฟ้า

การตั้งศาลพระภูมิ

       ก่อนการตั้งศาลพระภูมินั้น จะต้องดูสถานที่ที่จะทำการตั้งศาลพระภูมิเสียก่อน  มิใช่ว่านึกอยากจะตั้งตรงไหนก็ตั้งได้ตามอำเภอใจ ต้องดูสถานที่ก่อนว่ามีพื้นท่ี่เป็นอย่างไร ทิศทางเหมาะสมหรือไม เป็นบริเวรที่สะอาดหรือเปล่า  มีอะไรกีดขวางหรือเปล่า ต้องไม่ให้อยู่ใกล้ส้วมหรือห้องน้ำจนเกินไป  และอย่าหันหน้าศาลไปทางส้วมหรือห้องน้ำเด็ดขาด ต้องให้ห่างออกมาจากตัวบ้านพอสมควรจะเป็นการดี  ถ้าบ้านหลายชั้นจะยิ่งตั้งลำบากมาก ในบริเวณสถานที่จำกัดมาก  เคหะตึกแถวหรือทาวน์เฮ้าส์ ยิ่งจะหาที่ตั้งกันลำบากมากขึ้นเพราะสถานที่แคบเกินไป หากเป็นศาลพระภูมิหรือศาลเจ้าที่ต้องตั้งในพื้นดิน  ห้ามขึ้นบนบ้านหรือบนตึกเป็นอันขาดและห้ามหันหน้าศาลพระภูมิเข้าหาตัวบ้านโดยเด็ดขาด  ศาลพระภูมิจะมีเสาต้นเดียว  ศาลเจ้าที่มีเสา ต้น คำนึงในการตั้งศาลพระภูมิ คือ สถานที่ตั้ง,ทิศทาง,วันและฤกษ์ตั้ง,ความสูงของศาลพระภูมิและผู้ประกอบ พิธีกรรมการตั้งศาลพระภูมิ 


สถานที่ที่ตั้งศาล มีหลักการพิจารณาดังนี้
    1. ที่ตั้งศาลต้องเป็นบริเวณพื้นดิน มิใช่บริเวณเดียวกับพื้นของตัวบ้าน
    2. หากไม่มีพื้นที่ที่เป็นพื้นดิน สามารถทำการตั้งศาลบนชั้นดาดฟ้าได้ แต่ส่วนใหญ่ศาลที่ตั้งบนดาดฟ้าจะเป็นศาลเทพต่างๆ เช่นพระพรหม หรือ พระนารายณ์ มิใช่พระภูมิเจ้าที่
    3. จุดที่ตั้งของศาลต้องไม่ถูกเงาของตัวบ้านทอดลงมาทับ
    4. ที่ตั้งของศาลควรอยู่ห่างจากบริเวณที่ตั้งของห้องน้ำ
    5. อย่าตั้งศาลให้อยู่ใกล้กับตัวบ้านมากนัก
    6. อย่าหันหน้าศาลเข้าสู่บริเวณที่ตั้งของห้องน้ำ
    7. ไม่ควรตั้งศาลให้หันหน้าตรงกับประตูหน้าบ้าน
    8. ตั้งศาลให้ห่างจากรั้วหรือกำแพงบ้านอย่างน้อย เมตร
    9. ถ้าสามารถยกพื้นที่ตั้งศาลให้สูงขึ้นสัก คืบ จากพื้นดินได้ ก็เหมาะสมอย่างยิ่ง
   10. ความสูงของศาล ควรสูงเหนือระดับสายตาของผู้เป็นเจ้าของบ้านขึ้นไปเล็กน้อย 
การหันหน้าศาลพระภูมินั้นมักจะนิยมหันหน้าศาลไปเพียง  3 ทิศเท่านั้นคือสิ่งที่ต้อง
  • ศตะวันออก                (ทิศบูรพา)
  • ทิศเหนือ                      (ทิศอุดร)
  • ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ   (ทิศอีสาณ)
วันกับเดือนที่ห้ามตั้งศาล

เดือน 1 (เดือนอ้าย)
ห้ามตั้งศาล วันพฤหัสบดี และวันเสาร์

เดือน 2 (เดือนยี่) 
ห้ามตั้งศาล วันพุธ และวันศุกร์

เดือน 3    
ห้ามตั้งศาล วันอังคาร

เดือน 4   
ห้ามตั้งศาล วันจันทร์

เดือน
ห้ามตั้งศาล วันพฤหัสบดีและวันเสาร์

เดือน
ห้ามตั้งศาล วันพุธและวันศุกร์

เดือน
ห้ามตั้งศาล วันอังคาร

เดือน 8    
ห้ามตั้งศาล วันจันทร์

เดือน 9    
ห้ามตั้งศาล วันพฤหัสบดีและวันเสาร์

เดือน 10    
ห้ามตั้งศาล วันพุธและวันศุกร์

เดือน 11    
ห้ามตั้งศาล วันอังคาร

เดือน 12    
ห้ามตั้งศาล วันจันทร์
ทิศทาง การหันหน้าศาลพระภูมิสู่ทิศมงคล
               1. ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ ทิศอีสาน เป็นทิศที่ดีที่สุดหากตั้งศาลหันไปทิศนี้บ้านนั้นจะมีความเจริญรุ่งเรือง ตลอดไป
               2. ทิศตะวันออก หรือ ทิศบูรพา เป็นทิศที่ดีอันดับ หากตั้งศาลหันไปทิศนี้บ้านนั้นจะมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ประมาณ 100 ปี หลังจากนั้น จะมีแต่เสื่อมลงๆจนถึงขั้นหาความสุขความเจริญไม่ได้
               3. ทิศตะวันออกเฉียงใต้ หรือ ทิศอาคเณย์ เป็นทิศที่ดีอันดับ หากตั้งศาลหันไปทิศนี้บ้านนั้นจะมีความเจริญรุ่งเรือง อยู่ประมาณ 50 ปี หลังจากนั้น จะมีแต่เสื่อมลงๆจนถึงขั้นหาความสุขความเจริญไม่ได้

ทิศต้องห้ามในการตั้งศาลพระภูมิ คือ ทิศตะวันตกและทิศใต้
               เมื่อหาทิศทางตั้งศาลได้แล้วจะต้องพูนดินให้สูง คืบ เกลี่ยดินด้วยมือและทุบให้แน่น ห้ามใช้เท้าเด็ดขาด และเตรียมน้ำมนต์ไว้พรมบริเวณพื้นดินเพื่อขับไล่ภูตผีปีศาจและสิ่งชั่วร้าย ต่างๆ น้ำมนต์ที่ว่านี้เรียกว่า " น้ำมนต์ธรณีสาร " น้ำมนต์ธรณีสารนี้ ทำได้โดยนำน้ำธรรมดาไปให้พระท่านสวดพระพุทธมนต์ทำเหมือนน้ำมนต์ทั่วไปแต่ ต่างกัน ตรงที่ให้ท่านนำใบไม้ต้นธรณีสารมาใส่ลงในน้ำที่จะทำน้ำมนต์

วันและฤกษ์ตั้งศาล
               มีความสำคัญมาก ควรเลือกวันที่ดีและมีความเป็นสิริมงคลเพื่อให้ประสิทธิ์ผลในทางมงคล แก่ผู้อยู่อาศัยในบ้านเรือนนั้นสืบต่อไป วันต่อไปนี้ถือเป็นวันที่เป็นมงคลฤกษ์ แต่ถ้าวันข้างขึ้น หรือข้างแรมดังกล่าวไปตรงกับ วันต้องห้าม ของเดือนใด ให้เลี่ยงไปใช้วันอื่นเสีย


วันข้างขึ้น
วันข้างแรม

๒ ค่ำ
๒ ค่ำ

๔ ค่ำ
๔ ค่ำ

๖ ค่ำ
๖ ค่ำ

๙ ค่ำ
๙ ค่ำ

๑๑ ค่ำ
๑๑ ค่ำ

เวลาฤกษ์อันเป็นมงคล


วันอาทิตย์
เวลา ๐๖.๐๙ น. - ๐๘.๑๙ น.

วันจันทร์
เวลา ๐๘.๒๙ น. - ๑๐.๓๙ น.

วันอังคาร
เวลา ๐๖.๓๙ น. - ๐๘.๐๙ น.

วันพุธ
เวลา ๐๘.๓๙ น. - ๑๐.๑๙ น.

วันพฤหัสบดี
เวลา ๑๐.๔๙ น. - ๑๑.๓๙ น.

วันศุกร์
เวลา ๐๖.๑๙ น. - ๐๘.๐๙ น.

วันเสาร์
เวลา ๐๘.๔๙ น. - ๑๐.๔๙ น.

วันต้องห้าม


เดือนอ้าย
(ธันวาคม)
วันต้องห้ามคือ วันพฤหัสบดี และวันเสาร์

เดือนยี่
(มกราคม)
วันต้องห้ามคือ วันพุธ และวันศุกร์

เดือน ๓
(กุมภาพันธ์)
วันต้องห้ามคือ วันอังคาร

เดือน ๔
(มีนาคม)
วันต้องห้ามคือ วันจันทร์

เดือน ๕
(เมษายน)
วันต้องห้ามคือ วันพฤหัสบดี และวันเสาร

เดือน ๖
(พฤษภาคม)
เวันต้องห้ามคือ วันพุธ และวันศุกร์

เดือน ๗
(มิถุนายน)
วันต้องห้ามคือ วันอังคาร

เดือน ๘
(กรกฎาคม)
วันต้องห้ามคือ วันจันทร์

เดือน ๙
(สิงหาคม)
วันต้องห้ามคือ วันพฤหัสบดี และวันเสาร์

เดือน ๑๐ 
(กันยายน)
์ วันต้องห้ามคือ วันพุธ และวันศุกร์

เดือน ๑๑
(ตุลาคม)
วันต้องห้ามคือ วันอังคาร

เดือน ๑๒
(พฤศจิกายน)
วันต้องห้ามคือ วันจันทร์

จะสังเกตได้ว่า จะไม่ปรากฏว่ามี วันอาทิตย์ เป็น ข้อห้ามเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าให้ยึดเอาวันอาทิตย์ เป็นวันที่ดีที่สุดสำหรับการตั้งศาล เพราะคนโบราณถือกันว่า วันอาทิตย์นั้นแม้จะจะเป็นวันที่มีกำลังแรงดี แต่เป็นวันแรงและวันร้อน ไม่เหมาะที่จะทำการตั้งศาล เพราะบ้านอาจจะ ร้อน จรปราศจากความร่มเย็นเป็นสุข แต่ ถ้าหากผู้กระทำพิธีมีเคล็ดมีมนตร์แก้ความร้อนของวันได้ ก็สามารถคิดทำการตั้งศาลในวันนี้ได้ตามความสะดวก

ความสูงของศาล

               ขึ้นอยู่กับ ตัวเจ้าของบ้าน โดยให้ระดับฐานหรือชานชาลาพระภูมิอยู่เหนือระดับปาก (บางตำราว่าอยู่เหนือคิ้วพอดี ) ของผู้เป็นเจ้าของบ้าน ดังนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนเจ้าบ้าน ก็ควรจะตั้งศาลพระภูมิขึ้นใหม่ การใช้ศาลพระภูมิร่วมกัน กรณีที่เป็นหมู่บ้าน,ชุมชนหรือตึกแถว ให้ยึดเอาความสูงจาก เจ้าของผู้สร้างเริ่มแรก หรือหัวหน้าชุมชนนั้นๆ โดยให้เป็นตัวแทนเพื่อมาทำการยกศาลพระภูมิขึ้นเพื่อบอกกล่าวและสักการะ ขอให้ท่านดูแลปกปักษ์รักษาให้คุณ ให้โชคลาภ ความเจริญรุ่งเรืองแก่ผู้อยู่อาศัยทุกคน

การปักเสาตั้งศาล

                ต้องเตรียมหลุมให้เสร็จก่อนเริ่มพิธี ( ค่อยมีพิธีในวันรุ่งขึ้น ) โดยต้องเตรียมของดังนี้ พานครู พาน ใช้สำหรับใส่ข้าว ธูป เทียนขาว ดอกไม้หรือพวงมาลัยสด เหล้า บุหรี่ ผ้าขาว เงิน สลึงหรือ 99 บาท

รายการของมงคลใส่หลุม (ปัจจุบันที่นิยมใช้)
1.เหรียญเงิน เหรียญ
2.เหรียญทอง เหรียญ ( เหรียญสลึงหรือ 50 สตางค์ ก็ได้ )
3.ใบเงิน ใบ
4.ใบทอง ใบ
5.ใบนาค ใบ
6.ใบรัก ใบ
7.ใบมะยม ใบ 
8.ใบนางกวัก ใบ
9.ใบนางคุ้ม ใบ
10.ใบกาหลง ใบ
11.ดอกบานไม่รู้โรย ดอก
12.ดอกพุทธรักษา ดอก
13.ไม้มงคล ชนิด
14.แผ่น เงิน,ทอง,นาค ชุด
15.พลอยนพเก้า ชุด
การกลบหลุมนั้นให้ใช้มือกด ห้ามใช้เท้าโดยเด็ดขาด
ผู้ประกอบพิธีกรรมการตั้งศาลพระภูมิ
ควรจะเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมมีศีลธรรม ทำบุญทำทานประจำ มีความซื่อสัตย์สุจริต ยุติธรรม จะทำให้การตั้งศาลพระภูมิบังเกิดผลดี มีความเจริญรุ่งเรืองแก่เจ้าของบ้าน หรือเจ้าบ้านจะเป็นผู้กระทำพิธีกรรมก็ได้ โดยศึกษาขั้นตอนพิธีกรรมต่างๆ และให้ถือศีลกินเจ วัน ( 3,5,7 วันก็ได้ หรือมากกว่านี้ก็ได้ )ส่วนประกอบสำคัญของศาลพระภูมิ
              จะเหว็ดศาลพระภูมิ จะเป็นรูปพระภูมิอยู่ในแผ่นคล้ายแผ่นเสมา มือขวาถือพระขรรค์ มือซ้ายถือถุงเงินหรือสมุด(หนังสือ) และการปลุกเสกจะเหว็ดให้เป็นองค์พระภูมิมีดังนี้ บรรจุธาตุทั้ง คือ บรรจุพระพุทธคุณ,บรรจุพระธรรมคุณ,บรรจุพระสังฆคุณ ตลอดเทวคุณและวิญญาณธาตุเข้าไปในจะเหว็ดจากที่เรียกว่า จะเหว็ดเมื่อปลุกเสกแล้วก็จะเรียกว่า "พระภูมิ" บริวารของพระภูมิจะมี
1.ตุ๊กตาชาย-หญิง อย่างละ คู่
2. ตุ๊กตาช้าง-ม้า อย่างละ คู่
3.ละครยก โรง

ครื่องประดับตกแต่ง ก็จะประกอบด้วย
1.แจกัน คู่
2. เชิงเทียน คู่
3.กระถางธูป ใบ
4. ผ้าผูกจะเหว็ด ผืน
5.ผ้าพันศาล ชุด (ผ้าแพร สี คือ สีเขียว,สีเหลืองและสีแดง)
6.ฉัตรเงิน-ทอง คู่
7. ด้ายสายสิญจน์ ม้วน
8.ผ้าขาว ผืน
9. ทองคำเปลว
10.แป้งเจิม ถ้วย
11.ดอกบัว ดอก
12.ดอกไม้ สี(มาลัย สี )


ชื่อพี่เลี้ยงหรือคนรับใช้พระภูมิ

          พระภูมิท่านมีคนรับใช้หรือพี่เลี้ยง 3 คน  การถวายเครื่องสังเวย  ก็จะต้องออกชื่อพี่เลี้ยงทั้ง 3 นี้
ให้จัดการนำข้าวของ  ถวายพระภูมิเป็นการส่วนตัว  เช่นเดียวกับการที่เด็กวัด จัดอาหารเข้าไปประเคนพระฉันใดก็ฉันนั้น  ชื่อพี่เลี้ยง คนที่ 1 นายจันทร์   คนที่ 2 นายทิศ  คนที่3 นายอาจเสนถ้าจำไม่ได้จะเรียกว่า นายหลวง  นายขุน  นายหมื่น ก็ได้ผลเท่ากัน  หากเราจะนำสิ่งของไปถวายพระภูมิเช่นดอกไม้พวงมาลัย อาหาร และน้ำ ตลอดกระทั่งเข้าไปจุดธูปเทียนบูชา หรือปัดกวาดทำความสะอาดศาลก็ตาม  จะต้องเข้าทางทิศที่เป็นเท้า  จงอย่าเข้าทางด้านศีรษะพระภูมิเป็นอันขาด  และเรียกหรือออกชื่อให้นายทั้ง 3  ผู้เป็นพี่เลี้ยงหรือคนรับใช้ให้นำสิ่งของเหล่านี้  เข้าไปถวายพระภูมิอีกต่อหนึ่ง  ก็จะเป็นสิริมงคลท่านจะอวยพรให้มีความสมบูรณ์พูลผลค้าขายกำไรงาม
     

ทิศทางการเข้าสักการะพระภูมิ ในแต่ละวัน 

      วันอาทิตย์พระภูมินอนเอาศีรษะไปทาง ทิศบูรพา (ตะวันออก)  เอาเท้าไปทางทิศประจิม(ทิศตะวันตก)
      วันจันทร์พระภูมินอนเอาศีรษะ ไปทางทิศอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้) เอาเท้าไปทางทิศพายัพ(ตะวันออกเฉียงเหนือ)
      วันอังคาร  พระภูมินอนเอาศีรษะ ไปทางทิศ ทักษิณ (ใต้) เอาเท้าไปทางทิศอุดร(เหนือ)
     วันพุธ พระภูมินอนเอาศีรษะ ไปทางทิศหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้) เอาเท้าไปทางทิศอีสาน(ตะวันออกเฉียงเหนือ)
      วันพฤหัสบดีพระภูมินอนเอาศีรษะไปทางทิศประจิม(ตะวันตก) เอาเท้าไปทางทิศบูรพา(ตะวันออก)
     วันศุกร์ พระภูมินอนเอาศีรษะไปทางทิศพายัพ(ตะวันตกเฉียงเหนือ)เอาเท้าไปทางทิศอาคเนย์(ตะวันออกเฉียงใต้)
      วันเสาร์ พระภูมินอนเอาศีรษะ ไปทางทิศอุดร (เหนือ)  เอาเท้าไปทางทิศทักษิณ (ใต้)

เครื่องสักการบูชาพระภูมิ

การสักการบูชาพระภูมินั้น มิได้เหมือนกันตลอดไป  ย่อมที่จะหมุน เวียนเปลี่ยนไป  ตามแต่เดือนที่ได้กำหนดดังนั้น  การบูชา  การจัดเครื่องสังเวยและสิ่งของที่จะต้องใช้  ให้ถูกต้องตามเจตนา  ก็ยิ่งจะเป็นการเสริมสร้างสิริมงคลให้กับตนเอง  และครอบครัวได้มากยิ่งๆ ขึ้นไป ตามแต่เดือนที่หมุนเวียน  ดังต่อไปนี้

         เดือน 5 และ เดือน 6  เจ้ากรุงพาลี  ราชบิดาขององค์พระภูมิ  ท่านแปลงเพศเป็นยักษ์ มีความดุร้ายเป็นที่สุด  การจัดเครื่องสักการะในเดือนนี้  ต้องมี  กุ้งพล่า  ปลายำ  เนื้อย่าง ( จะเป็นเนื้อหมูหรืออะไรก็ได้ )  แต่ให้เป็นของสด  ของคาว  ก็จะเป็นที่พอใจของท่าน  หากตั้งศาลในเดือนดังกล่าวนี้  ก็ให้สูงเท่าปาก  ใช้ผ้าแดงปู  มีเหล้ายาสารพัด  เทียนขาว9เล่มและเครื่องสังเวยอื่นๆ

         เดือน 7 และ เดือน 8  เจ้ากรุงพาลี  กลายเพศเป็นพราหมณ์สวยสดงดงาม  งดเนื้อสัตว์และของคาวสารพัด  ใช้ผ้าขาวปู  เครื่องสังเวยมังสวิรัติ
          เดือน 9 และ เดือน 10  เจ้ากรุงพาลี  กลายเพศเป็นราชสีห์  ชอบของสด  ของคาว  ใช้ผ้าเหลืองปูศาล  จะเกิดลาภผลเหลือประมาณ  ตามความต้องการทุกอย่าง
          เดือน 11 และ เดือน 12  เจ้ากรุงพาลี  กลายเพศเป็นช้าง  ต้องมีหญ้าแพรก  หญ้าปล้อง  อย่างละใช้ผ้าดำปูศาล  จะเกิดลาภผลสวัสดี  ห้ามใช้ของคาว
          เดือนอ้าย และ เดือนยี่  เจ้ากรุงพาลี  กลายเพศเป็นนาคราช  ให้ตั้งศาลสูงแค่สะดือ  จะมีเกียรติยศและชื่อเสียงเลื่องลือไกล  ของคาวทั้งหลายให้นำมาสักการะ
          เดือน3 และ เดือน 4  เจ้ากรุงพาลี  กลายเพศเป็นครุฑ  ของสดของคาว  กุ้งพล่า  ปลายำ  เป็นสิ่งบันดาลโชคลาภ  โทษภัยจะหนีห่าง  มีแต่ความสุขสำราญ
          ใน การจัดเครื่องสักการะนี้  จะต้องทำให้ถูกต้องตามาประสงค์  จึงจะเกิดลาภผล  ดลช่วยให้พ้นภัยพิบัติทั้งหลายทั้งปวง  มีแต่โชคลาภนานาประการ


คาถาบูชาพระภูมิทุกวัน

   ยัสสานุภาวะโต  ยักขา  เนวะ  ทัสเสนติ  ภิงสะนัง  ยัมหิ    เจวา นุยุญชันโต  รัตตินเทวะ มะตันทิโต สุขัง  สุปะติ  สุตโต  จะ  ปาปังกิญจิ  นะ ปัสสะติ  เอวะมาทิ   คุณูปเปตัง  ปะริตตันตัม  ภะณามะเห 
          
หากตั้งศาลพระภูมิ  ไว้ในเขตบ้าน จงใช้คาถานี้บูชาทุกๆ วัน จะเกิดสิริมงคลและบันดาลโชคลาภ  ลาภผลนานานัปการ ถ้าหากสวดบูชาให้ครบตามกำลังวันได้ก็ดียิ่งๆ ขึ้นไป คือ


วันอาทิตย์     
สวด 6 จบ

วันจันทร์     
สวด 15 จบ

วันอังคาร     
สวด 8 จบ

วันพุธ    
สวด 17 จบ

วันพฤหัสบดี     
สวด 19 จบ

วันศุกร์    
สวด 21 จบ

วันเสาร์    
สวด 10 จบ

หาก มีเวลาน้อยก็สวดวันละ 1 จบ  หรือครั้งละ 1 จบก็ได้  โดยสม่ำเสมอกันทุกๆ วัน  อย่าให้ขาด  พร้อมทั้งดอกไม้  หรือพวงมาลัยสด  ธูปเทียน  จุดบูชาเป็นประจำ  ก็จะบังเกิดผลดีตลอดไป

คาถาขอขมาพระภูมิ

อิติสุคะโต  อะระหังพุทโธ  นะโมพุทธายะ    พระภุมมะเทวา  ขะมามิหัง

พระคาถานี้  เป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโอภาสี  แห่งวัดกลางสวน  บางมด  ฝั่งธนบุรี รวมกับการขอขมาพระภูมิแล้ว  จะเป็นการเพิ่มพลังจิตและพลังศรัทธา  ทำให้องค์พระภูมิท่านใจอ่อน  เกิดมีใจเมตตา  อภัยในทุกสิ่งทุกอย่าง  ที่เราได้ก้าวก่ายหรือพลาดพลั้งกระทำในสิ่งที่ผิดลงไปโดยจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม







เครื่องสังเวยสำหรับตั้งศาล จะประกอบด้วยอาหารคาวหวานดังนี้

1.หัวหมู 1 หัว
2.ไก่ต้ม 1 ตัว

3.เป็ด 1 ตัว
4.ปลานึ่ง 1 ตัว

5.ปู หรือ กุ้ง 1 จาน
6.บายศรีปากชามยอดไข่ 1 คู่

7.น้ำจิ้ม 2 ถ้วย
 8.ข้าวสวย 2 ถ้วย

9.เหล้า 1 ขวด
10.น้ำชา 2 ถ้วย

11.น้ำสะอาด 2 แก้ว
12.มะพร้าวอ่อน 1 คู่

13.ขนมต้มแดง 2 จาน
14.ขนมต้มขาว 2 จาน

15.ขนมถั่วงา 2 จาน
16.ขนมถ้วยฟู 2 จาน

17.ขนมหูช้าง 2 จาน
18.เผือก-มันต้ม 2 จาน

19.ฟักทอง 2 ผล
20.แตงไทย 2 ผล

21.ขนุน 2 จาน
22.สับปะรด 2 ผล

23.กล้วย 2 หวี
24.ผลไม้ 5 ชนิด 2 จาน

25.พานหมาก พลู บุหรี่ 1 คู่


** ถ้าขนาดบ้านและศาลพระภูมิเล็ก ก็สามารถใช้สับปะรดเพียง 1 ผลได้แต่จัดแบ่งเป็น 2 จาน **

เครื่องสังเวยสำหรับตั้งศาล ( มังสวิรัติ )

1.มะพร้าวอ่อน 1 คู่
2.ถั่วคั่ว 2 จาน
3.งาคั่ว 2 จาน
4.เผือก-มันต้ม 2 จาน
5.ขนมต้มแดง 2 จาน
6.ขนมต้มขาว 2 จาน
7.ขนมถั่วงา 2 จาน
8.ขนมถ้วยฟู 2 จาน
9.ฟักทอง 2 ผล
10.แตงไทย 2 ผล
11.ขนุน 2 จาน
12.สับปะรด 2 ผล
13.สับปะรด 2 ผล
14.ผลไม้ 5 ชนิด 2 จาน
15.พานหมาก พลู บุหรี่ 1 คู่
16.น้ำสะอาด 2 แก้ว
17.ข้าวสวย 2 ถ้วย
18.น้ำชา 2 ถ้วย
19.นม 2 ถ้วย
20.เนย 2 ถ้วย

ผลไม้ที่ห้ามนำถวาย

1. มังคุด
2. ละมุด
3. ระกำ
4.มะเฟือง
5.มะไฟ
6.น้อยโหน่ง
7. น้อยหน่า
8.กระท้อน
9.ลูกท้อ
10.ลูกจาก
11.ลูกพลับ
12.มะขวิด
13.มะตูม
14.พุทรา
15.ลางสาด

       คนไทยโบราณมีความเชื่อว่าผลไม้ทั้ง 15 ชนิดนี้เป็นอัปมงคล ไม่ควรนำมาถวายเป็นเครื่องสังเวยหน้าศาลพระภูมิเป็นอันขาด